บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 8
วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2561

เนื้อหาที่เรียน ความรู้ที่ได้รับ
กิจกรรมการเรียนการสอนวันนี้ เพื่อนๆ นำเสนอคำคมเกี่ยวกับการบริหาร สัปดาห์นี้ 3 คน
นำเสนอคำคมเกี่ยวกับการบริหาร
นำเสนอคำคมเกี่ยวกับการบริหาร
กิจกรรมต่อไป อาจารย์ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มนำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษา
หน้าชั้นเรียน
กลุ่มที่ 1
งานวิจัย เรื่อง รูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษา สู่ความเป็นเลิศระดับสากล
งานวิจัย เรื่อง รูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษา สู่ความเป็นเลิศระดับสากล
วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต
สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผู้วิจัย : อุดม ชูลีวรรณ
ปีการศึกษา : 2559
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1. ระบบการศึกษาในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนของชาติให้มีคุณภาพตามที่สังคมปรารถนาโดยจะต้อง
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม คุณลักษณะของบุคคลให้อดคล้องกับ ทิศทางการพัฒนาประเทศ
เพื่อเป็น พลังในการขับ
เคลื่อนพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศได้
ประเด็นที่ 2. การศึกษาทุกระบบมุ่งเน้นที่จะให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ
ประเด็นที่
3. เพื่อจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ
ประเทศไทยได้มีการปฏิรูปการศึกษามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ.2542
ทั้งปรับโครงสร้างการบริหาร การพัฒนายกระดับคุณภาพครู หลักสูตร การเรียนการสอน
ประเด็นที่ 4. การกำหนดเป้าหมายยุทธศาสตร์
ของคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษา
ประเด็นที่ 5.
การส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อพัฒนาสู่คุณภาพระดับสากล โดยเริ่มต้นจากโครงการ
โรงเรียนมาตรฐานสากล
ประเด็นที่ 6.
การบริหารจัดการโรงเรียนด้วยระบบคุณภาพที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบที่จะพัฒนาองค์กรให้
มีผลดำเนินการที่เป็นเลิศ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
2.เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
ความสำคัญและประโยชน์ของการวิจัย
1.เป็นแนวทางสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อนำผลการวิจัยไปจัดระบบการบริหารจัดการที่
เอื้อต่อการปฎิรูปการเรียนรู้
และการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ได้มาตรฐานระดับสากล
2.
เป็นแนวทางสำหรับผู้บริหารในระดับสูง
เพื่อการนำผลการวิจัยไปพัฒนาเกณฑ์การประเมินคุณภาพ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
3.
เป็นแนวทางสำหรับผู้หน่วยงานท่งกาศึกษา
หรือผู้เกี่ยวข้องเพื่อการนำผลการวิจัยไปสู่การกำหนด
รางวัลคุณภาพทางการศึกษา
4.
เป็นแนงทางการนำนโยบายการปฎิรูปการศึกษาในศตวรรษที่สอง
ไปสู่การปฎิบัติเพื่อการพัฒนา
คุณภาพ มาตรฐานการศึกษา การเรียนรู้
การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคมในการ
บริหารและจัดการศึกษาให้ได้มาตรฐานระดับสากล
ขอบเขตของการวิจัย
1.ขอบเขตด้านเนื้อหา
การวิจัยครั้งนี้ขอบเขตการวิจัยด้านเนื้อหาโดยศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาเชิง
ระบบ
แนวคิดเกี่ยวกับคุณภาพ การจัดการคุณภาพองค์กร บริหารจัดการคุณภาพ
การบริหารสู่ความเป็น
เลิศ เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติของประเทศไทย
และเกณฑ์รางวัลคุณภาพของต่างประเทศ
แนวทางการพัฒนาโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
2.
ขอบเขตด้านพื้นที่
ผู้วิจัยเลือกโรงเรียนที่ดำเนินในโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากลระดับมัธยมศึกาสังกัดสำนักงานคณะ
กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ประสบความสำเร็จ
จำนวน 3 โรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ดำเนินงานตาม
เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (TQA)มีระบบการพัฒนาระบบบริหารจัดการคุณภาพสู่ความเป็นเลิศระดับ
สากล
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรต้น : รูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพ
ตัวแปรตาม : ความเป็นเลิศระดับสากล
นิยามศัพท์เฉพาะ
1.
รูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
หมายถึง
กรอบแนวคิดที่เป็นแนวทางในการจัดองค์กรและบริหารองค์กรนั้นโดยมีการออกแบบระบบงานและ
แนวทางในการดำเนินงานที่คุณภาพ
2. ระบบ หมายถึง
ชุดขององค์ประกอบต่างๆ ที่ประกอบด้วยส่วนย่อย
หรือระบบย่อยที่มีความสัมพันธ์กัน
ตามโครงสร้างทางหน้าที่ในลักษณะหน่วยเดียวกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายโดยรวมที่
กำหนดไว้
3. ระบบบริหาร หมายถึง
ชุดขององค์ประกอบย่อยที่มีความสัมพันธ์กันตามหน้าที่การบริหาร
ซึ่งละระบบ
ประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์การนำและการควบคุมตามลำดับ
4.
ระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
หมายถึงชุดของประเด็น
หลัก ประเด็นย่อยและแนวทางการปฏิบัติที่มีความสัมพันธ์กัน
ตามหน้าที่หรือกระบวนการบริหาร เพื่อให้
โรงเรียนมีคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยม
มีคุณภาพสูง เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปและสามารถเป็นแบบอย่างให้กับ
ผู้อื่น
5.
องค์ประกอบหลักของระบบบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
หมายถึง
องค์ประกอบที่ได้มาจากการสังเคราะห์ทฤษฎีเชิงระบบ
เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติของประเทศต่างๆ
การบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาตามโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากลสังกัดสำนักงานคณะ
กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ประกอบด้วยปัจจัยนำเข้าและกระบวนการบริหารจัดการ ได้แก่
1) ปัจจัยเกื้อหนุน
2)การนำองค์กร
3) การวางแผนพัฒนาคุณภาพ
4) การมุ่งเน้นผู้เรียนผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้อง
5) การพัฒนาระบบสารสนเทศ
6) การมุ่งเน้นบุคลากร
7) การบริหารจัดการสู่ความเป็นเลิศ
8) การสร้างภาคีเครือข่ายการพัฒนา
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
ผู้วิจัยเลือกโรงเรียนที่ดำเนินการในโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากลระดับมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ประสบความสำเร็จมา3 โรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ดำเนินงานตาม
เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ มาพัฒนาขีดความสามารถด้านนการบริหารจัดการส่งผลให้มีวิธีปฏิบัติ
และผลงานที่เป็นเลิศ
ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐานจัดอันดับเป็นโรงเรียนต้นแบบ จาก
โรงเรียนในโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากลระดับมัธยมศึกษาทั่ว ประเทศจำนวน 318 โรงเรียน
กลุ่มตัวอย่าง
ประกอบด้วยผู้อำนวยการโรงเรียน 1 คน
รองผู้อำนวยการโรงเรียนละ 1 คน หัวหน้างานโรงเรียนละ 8
คน ครูผู้สอนโรงเรียนละ 5
คน นักเรียนโรงเรียนละ 5 คน และผู้ปกครองโรงเรียนละ 5 คน
รวมผู้ให้ข้อมูล
โรงเรียนละ 25 คน รวมผู้ให้ข้อมูล 3 โรงเรียน ทั้งสิ้น 75 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แบบบันทึกการวิเคราะห์ประเด็นหลักและประเด็นย่อย จากการศึกษาค้นคว้าเอกสารแนวคิดทฤษฎี
และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนที่1
2.
แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างในการศึกษาภาคสนามในขั้นตอนที่2
2.1 ฉบับที่ 1 แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างสำหรับผู้บริหาร
2.2 ฉบับที่ 2 แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างสำหรับหัวหน้างาน
2.3 ฉบับที่ 3 แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างสำหรับครู
2.4 ฉบับที่ 4 แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างสำหรับนักเรียน
2.5 ฉบับที่ 5 แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างสำหรับผู้ปกครอง
3. แบบบัน ทึกการสังเกตแบบมีส่วนร่วมในภาคสนาม
4. แบบบันทึก(ร่าง) องค์ประกอบหลักและองค์ประกอบย่อยของการบริหาร
คุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
ซึ่งวิเคราะห์และสรุปได้จากประเด็นหลักและ
ประเด็นย่อยจากการศึกษาเอกสารและการศึกษาภาคสนามในขั้นตอนที่ 3
5. แบบบันทึก (ร่าง)
ระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศ
6. แบบบันทึกประเด็นการสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
7. แบบบันทึกประเด็นการสนทนากลุ่มผู้ปฏิบัติ
8. แบบบันทึกสรุปผลการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
การดำเนินการวิจัย
ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาเอกสาร วิเคราะห์หลักการ แนวคิด
ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการ
คุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศในระดับ
สากล
เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการบริหารคุณภาพโรงเรียน
มัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาภาคสนาม
จากโรงเรียนกรณีศึกษา เพื่อศึกษาองค์ประกอบหลักองค์ประกอบย่อย
วิธีปฏิบัติในแต่ละองค์ประกอบของการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
ขั้นตอนที่ 3
ออกแบบระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
ขั้นตอนที่ 4
การตรวจสอบระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
ขั้นตอนที่ 5
การประเมินระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
ความรู้ที่ได้จากวิจัยครั้งนี้คือ
การบริหารสถานศึกษาในโรงต่างๆ
จะเห็นได้ว่าการบริหารและการจัดการเป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้เกิดการดำเนินงาน บรรลุเป้าหมายคือด้านผลลัพธ์แต่จะบริหารและจัดการอย่างไรจึงจะเกิดประสิทธิภาพนั้นผู้ริหารสำคัญที่สุดเพราะผู้บริหารเป็นผู้กำหนดทิศทางการทำงาน ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิภาพทั้งหลายล้วนเป็นผู้นำทางวิชาการ มีความคิดริเริ่ม มีวิสัยทัศน์ มีความรอบรู้ มีความสามารถในการจัดโครงสร้างและจัดบุคลากรให้เหมาะกับศักยภาพ ส่งเสริมให้มีการจัดหลักสูตรที่เหมาะสมกับผู้เรียนและท้องถิ่น ส่งเสริมพัฒนานวัตกรรม พัฒนาบุคลากร พัฒนา ผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์รอบด้านทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา สิ่งสำคัญอีก
กลุ่มที่ 2
งานวิจัย เรื่อง การบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียน เครือข่ายที่49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร
งานวิจัย
เรื่อง การบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียน
เครือข่ายที่49 สำนักงานเขตคลองสามวา
สังกัดกรุงเทพมหานคร
การศึกษาระดับ
: ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัยปทุมธานี
ผู้วิจัย
: นางสาวจิรัญญา
ขัดธิพงษ์
ปีการศึกษา
2558
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 ศึกษาการบริหารวิชาการ
ประเด็นที่ 2 ศึกษาบริหารงบประมาณ
ประเด็นที่ 3
ศึกษาการบริหารงานบุคคลการบริหารทั่วไป
ประเด็นที่ 4 ศึกษาการบริหารทั่วไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.เพื่อศึกษาการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครู ในโรงเรียนเครือข่ายที่ 49
สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานครในขอบข่ายภารกิจ 4 ด้าน ได้แก่
การบริหารวิชาการการ บริหารงบประมาณ การบริหารงานบุคคลและการบริหารทั่วไป
2.เพื่อเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียนเครือข่ายที่49
สำนักงานเขตคลองสามวา
สังกัดกรุงเทพมหานครจำแนกตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ในการสอน
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.
ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาในขอบข่ายภารกิจทั้ง
4 งาน
2.
ผู้บริหารสถานศึกษานำไปพิจารณาปรับปรุงพัฒนาการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดียิ่งขึ้น
3.
เป็นข้อมูลหรือแนวทางสำหรับสำนักการศึกษากรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นำไปใช้พัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
ขอบเขตของการศึกษาวิจัย
1.ประชากร
ได้แก่ ครูในโรงเรียนเครือข่ายที่
49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา
2558 จำนวน 284 คน
2.
กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ ครูโรงเรียนในเครือข่ายที่49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2558 จำนวน
165คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซีและมอร์แกน (Krejcie and
Morgan, 1970 : 608)และสุ่มแบบแบ่งชั้น
(Stratified
Random Sampling) โดยใช้โรงเรียนเป็นชั้น
(Strata)
จากนั้นใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย
(Simple
Random Sampling)
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น
/ตัวจัดกระทำ
1.
ตัวแปรอิสระ ได้แก่สถานภาพของครู
1.1 วุฒิการศึกษาได้แก่
1) ปริญญาตรี
2) สูงกว่า ปริญญาตรี
1.2 ประสบการณ์ในการสอน ได้แก่
1) น้อยกว่า 10 ปี
2) ตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
ตัวแปรตาม ได้แก่
การบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียนครือข่ายที่ 49
สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร ในขอบข่ายภารกิจ 4 ด้าน คือ
1.
ด้านการบริหารวิชาการ
2.
ด้านการบริหารงบประมาณ
3 .ด้านการบริหารงานบุคคล
4.
ด้านการบริหารทั่วไป
นิยามศัพท์เฉพาะ
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดนิยามการปฏิบัติการ
ดังนี้
1.ทัศนะของครูที่มีต่อการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหาร
หมายถึงความเห็นของครูในโรงเรียนที่มีต่อการบริหารงาน ของผู้บริหาร
2.การบริหารสถานศึกษา หมายถึง
การจัดวางระบบ และแนวปฏิบัติในการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ ตามขอบข่ายการบริหารสถานศึกษา
โดยแบ่งการบริหารออกเป็น 4 งาน ได้แก่ การบริหารวิชาการการบริหารงบประมาณ
การบริหารงานบุคคลและการบริหารทั่วไป
สมมติฐานการวิจัย
1.ครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน
มีทัศนะต่อการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารในโรงเรียนเครือข่ายที่ 49
สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานครแตกต่างกัน
2.ครูที่มีประสบการณ์ในการสอนต่างกัน
มีทัศนะต่อการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารในโรงเรียนเครือข่ายที่ 49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานครแตกต่างกัน
วิธีการดำเนินการวิจัย
ประชากร
ได้แก่ ครูในโรงเรียนเครือข่ายที่ 49
สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2558 จำนวน 284 คน
กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ ครูโรงเรียนในเครือข่ายที่ 49
สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2558 จำนวน 165 คน
กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ตารางของเครจซีและมอร์แกน (Krejcie and
Morgan, 1970 : 608)และสุ่มแบบแบ่งชั้น(Stratified
Random Sampling) โดยใช้โรงเรียนเป็นใช้ชั้น(Strata)
จากนั้นใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย
(Simple
Random Sampling)
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ตารางของเครจซีและมอร์แกน
(Krejcie and
Morgan, 1970 : 608)และสุ่มแบบแบ่งชั้น(Stratified
Random Sampling) โดยใช้โรงเรียนเป็นชั้น
(Strata)
จากนั้นใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย
(Simple
Random Sampling)
การดำเนินการวิจัย
การวิจัยเรื่องการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียนเครือข่ายที่49
สำนักงานเขตคลองสามวา สังกดักรุงเทพมหานคร
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียนเครือข่ายที่49
สำนักงานเขตคลองสามวา สังกดักรุงเทพมหานครภายใต้ขบเขตเนื้อหาของการวิจัยใน 4 ด้าน
ประกอบด้วย การบริหารวิชาการ การบริหารงบประมาณ
การบริหารงานบุคคลและการบริหารทั่วไป
และเพื่อเปรียบเทียบระดับการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียนเครือข่ายที่49
สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานครจำแนกตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ในการสอนโดยประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ครูโรงเรียนในเครือข่ายที่49
สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2558 จำนวน284คน
และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่โรงเรียนในเครือข่ายที่49 สำนักงานเขตคลองสามวา
สังกัดกรุงเทพมหานครปีการศึกษา 2558 จำนวน165 คน
สะท้อนองความรู้ที่ได้จากวิจัย
จากการศึกษาวิจัยเรื่องการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียน
เครือข่ายที่ 49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร
ได้ความรู้จากการศึกษาวิจัย ดังนี้ ได้เห็นแนวคิด ทฤษฎี หลักการต่างๆ
ของการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา
การบริหารงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป
สำหรับการบริหารงานวิชาการมีการจัดตั้งและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ให้ครูและนักเรียนใช้ทั้งในและนอกโรงเรียน
ทางด้านการบริหารงบประมาณ มีการดำเนินการจัดทำบัญชีการเงินถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ
มีการจัดทำทะเบียนคุมทรัพย์สินและบัญชีวัสดุ
ควบคุมบำรุงรักษาพัสดุและมีการตรวจสอบพัสดุประจำปี
และด้านการบริหารงานบุคคลมีการส่งเสริมและให้การสนับสนุนการประเมินวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีการส่งเสริมสร้างขวัญ
และกำลังใจโดยการยกย่องเชิดชูเกียรติผู้มีผลงานดีและมีคุณงามความดีและ
เสริมสร้างและพัฒนาวินัย
คุณธรรมและจริยธรรมสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
กลุ่มที่ 3
งานวิจัย เรื่อง รูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
งานวิจัย
เรื่อง
รูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต
สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้วิจัย
:
นางนริสานันท์ เดชสุระ
ปีการศึกษา
:
2552
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่
1 การจัดการศึกษาภาคบังคับเป็นการจัดการศึกษาที่เริ่มตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่
1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ไม่ได้คลอบคลุมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย
เป็นเพียงการศึกษาขั้นพื้นฐานแต่นักการศึกษาและนักจิตวิทยามีความคิดเห็นที่สอดคล้องกันว่าเด็กวัยแรกเกิดจนถึง
6 ปีเป็นวัยที่สำคัญต่อการวางรากฐานบุคลิกภาพและการพัฒนาศักยภาพทางสมอง
การจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยจึงมีความสำคัญต่อการส่งเสริมพัฒนาเด็กในทุกๆด้าน
ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ -จิตใจ สังคมและสติปัญญา
เป็นการส่งเสริมความพร้อมในการที่จะเรียนรู้ในระดับต่อไป ซึ่ง
สถานศึกษาแต่ละแห่งมีรูปแบบการบริหารและการดำเนินงานที่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันแต่มีจุดร่วมเดียวกันเพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กให้มีคุณภาพเพื่อส่งผลต่อการพัฒนาสังคมและประเทศด้วย
ประเด็นที่ 2
การจัดการศึกษาในระดับปฐมวัยนับว่ามีความสำคัญเป็นอันดับแรก
เนื่องจากเป็นการวางรากฐานคุณภาพชีวิต
การศึกษาให้แก่เยาวชนซึ่งโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยราชภัฏมีบทบาทในการดำเนินงานด้านการศึกษาปฐมวัย
การดำเนินงานและการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
กล่าวคือต้องมีการบริหารงานที่มีรูปแบบหรือลักษณะชัดเจนถูกต้องเหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
ประเด็นที่ 3
สาธิตปฐมวัยเป็นโรงเรียนที่จัดการศึกษาในระดับปฐมวัยคือการจัดการศึกษาสำหรับเด็กนักเรียนที่มีอายุระหว่าง
2 ปีครึ่ง - 5 ปี 11 เดือน
โดยมีปรัชญาในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยเต็มศักยภาพสอดคล้องกับพัฒนาการทางด้านร่างกาย
ด้านอารมณ์จิตใจ สังคมและสติปัญญา และเป็นไปโดยธรรมชาติภายใต้สิ่งแวดล้อมที่เป็นอิสระ
ภารกิจของการดำเนินงานโรงเรียนสาธิตปฐมวัย
1. พัฒนาเด็กปฐมวัยให้เต็มตามศักยภาพ
ให้เป็นไปโดยธรรมชาติ
2.
เป็นแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพให้แก่นักศึกษาโปรแกรมวิชาการศึกษาปฐมวัย
3.
เป็นแหล่งการบริหารวิชาการ
ค้นคว้าวิจัยและพัฒนาข้อมูลวิชาการทางด้านการศึกษาปฐมวัย
โรงเรียนสาธิตมีภารกิจที่รับผิดชอบเช่นเดียวกันกับโรงเรียนอื่นๆ ได้แก่ งานวิชาการ
งานบุคลากร งานกิจการนักเรียน
ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วยตัวแปรพื้นฐานและตัวแปรที่ศึกษาซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. ตัวแปรพื้นฐาน เป็นตัวแปลที่เกี่ยวกับสถานภาพส่วนตัวของผู้ให้ข้อมูลได้แก่
เพศอายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน
และประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งปัจจุบัน
2. ตัวแปรที่ศึกษา เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโรงเรียนจากการสรุปผลการวิเคราะห์แนวคิดทฤษฎีจำนวน
104 ตัวแปร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศจำนวน
62 ตัวแปร
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยจำนวน
86 ตัวแปร
และสรุปผลจากการสัมภาษณ์ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน
84 ตัวแปร
สรุปตัวแปลทั้งหมดที่ได้หลังจากการวิเคราะห์เนื้อหา
(content
analysis)
ได้จำนวน140
ตัวเเปร
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
จากสภาพความเป็นมาและปัญหาของการวิจัยดังที่ได้กล่าวข้างต้นผู้วิจัยกำหนดจุดประสงค์ของการวิจัยและกัน
1.
เพื่อทราบองค์ประกอบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
2. เพื่อนำเสนอรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ผลของการวิจัยจะมีคุณค่าต่อการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย
และมีแนวทางการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยที่มีประสิทธิภาพมีระบบการบริหารและการดำเนินงานที่มีมาตรฐาน
เป็นไปตามแนวทางภารกิจของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ
และเป็นองค์ความรู้ทางวิชาการต่อไป
นิยามศัพท์เฉพาะ
โรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
หมายถึง
หน่วยงานที่จัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา หรือระดับปฐมวัย
จัดการศึกษาสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 1 ปี 8 เดือน ถึง 6 ปี จำนวน 24 แห่ง
ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้มหาวิทยาลัยราชภัฏสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
รูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ หมายถึง
โครงสร้างความสัมพันธ์ขององค์ประกอบการบริหารของโรงเรียนสาธิตปฐมวัย
เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการในการจัดโครงสร้างองค์กร
การกำหนดนโยบายและแผนการดำเนินงานตามภารกิจของโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
สมมุติฐานการวิจัย
เพื่อให้เป็นแนวชนิดใดและเป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานในการวิจัยไว้ดังนี้
1.
องค์ประกอบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฎเป็นพหุองค์ประกอบ
2.
รูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฎมีความสอดคล้องกับกรอบแนวคิดทฤษฎีของการวิจัย
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
ได้แก่โรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
จำนวน 24 แห่ง
กลุ่มตัวอย่าง
สำหรับกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้
ผู้วิจัยกำหนดกลุ่มตัวอย่างโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
โดยใช้วิธีการเปิดตาราง เครจซีและมอร์แกน
( krejcie
and morgan
ได้โรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่เป็นตัวอย่างจำนวน
22 โรงเรียน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ในการศึกษาวิจียครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือในแต่ละขั้นตอน
รวมทั้งหมด 3 ประเภทคือ
1. แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ( semi-structured
interview)
2. แบบสอบถามความคิดเห็น
( opinionnaire
)
3. แบบตรวจสอบรายการ
( check
list from )
การดำเนินการวิจัย
ขั้นตอนการดำเนินการวิจัยโดยแบ่งออกเป็น3ขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่1 จัดเตรียมโครงการวิจัยเป็นขั้นตอนการจัดเตรียมโครงการตามระเบียบวิธีการดำเนินการวิจัยโดยศึกษาเรื่องการบริหารโรงเรียนจากเอกสาร
ตำรา ข้อมูล สถิติ การวิจัยของบุคคลและหน่วยงานต่างๆรวมถึงวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฎ
เพื่อจัดทำโครงการวิจัยโดยขอคำแนะนำความเห็นในการจัดทำโครงร่างการวิจัยจาก
อาจารย์ที่ปรึกษาและนำมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อเสนอขออนุมัติหัวข้อดุษฎีนิพนธ์
ขั้นตอนที่ 2 การดำเนินการวิจัยเป็นขั้นตอนการศึกษาวิเคราะห์กำหนดกรอบแนวคิด
เพื่อสร้างและพัฒนาเครื่องมือนำไปทดลองใช้ปรับปรุงคุณภาพ
และสรุปข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฎ
วิเคราะห์หาข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่อมานำเครื่องมือที่สร้างและพัฒนาแล้วไปเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างและนำข้อมูลที่ได้มาทดสอบความถูกต้องของข้อมูลและแปรผล
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างรูปแบบและการตรวจสอบความเหมาะสมพร้อมทั้งเสนอรูปแบบซึ่งประกอบด้วย
5 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 3 การรายงานผลการวิจัยเป็นขั้นตอนการจัดทำร่างรายงานผลการวิจัยเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ตรวจสอบความถูกต้องปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องตามที่คณะกรรมการผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์เสนอแนะ
จัดพิมพ์และส่งรายงานผลการวิจัยฉบับสมบูรณ์ต่อบัณฑิต
วิทยาลัยมหาวิทยาลัยศิลปกรเ
พื่อขออนุมัติจบการศึกษา
สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
การบริหารและหลักการบริหารการจัดการมีความสำคัญในการวางระบบการบริหารโรงเรียน
โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเป็นรูปแบบ
และแนวคิดในการบริหารที่จะต้องกระจายอำนาจการบริหารทำให้สถานศึกษามีอำนาจและความรับผิดชอบในการบริหารมีความคล่องตัวและมีอิสระมากขึ้นในการตัดสินใจ
การสร้างประสิทธิภาพของโรงเรียนควรเน้นการบริหารการจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานอย่างชัดเจน
และเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้
กลุ่มที่ 4
งานวิจัย เรื่อง การบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
งานวิจัยเรื่อง
การบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน
ในอำเภอคลองหลวง
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
การศึกษาระดับ ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผู้วิจัย ยุกตนันท์
หวานฉ่ำ
ปีการศึกษา 2555
บทนำ
ในสภาพของสังคมในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วสังคมประเทศไทยเป็นยุคที่มีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆที่ทันสมัยเข้ามามีบทบาทพร้อมกับวัฒนธรรมของชาติตะวันตกซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรมซึ่งการศึกษาถือได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าและเป็นการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาในทุกๆด้าน
การบริหารสถานศึกษาเป็นภารกิจหลักของผู้บริหารที่จะต้องกำหนดแบบแผนวิธีการและขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติงานไว้อย่างเป็นระบบเพราะถ้าระบบการบริหารงานไม่ดีจะกระทบกระเทือนต่อส่วนอื่นๆของหน่วยงานนักบริหารที่ดีต้องรู้จักเลือกวิธีการบริหารที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพเพื่อที่จะให้งานนั้นบรรลุจุดหมายที่วางไว้การบริหารงานนั้นจะต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ทุกประการเพราะว่าการดำเนินงานต่างๆมิใช่เพียงกิจกรรมที่ผู้บริหารจะกระทำเพียงลำพังคนเดียวแต่ยังมีผู้ร่วมงานอีกหลายคนที่มีส่วนทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จ
การบริหารสถานศึกษาทั้ง4ด้านให้มีคุณภาพสอดคล้องกับประสิทธิผลของโรงเรียนและความต้องการของบุคคลและสังคมนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศ
โดยผู้บริหารสถานศึกษามีอำนาจในการจัดการศึกษาของโรงเรียนมีหน้าที่และรับผิดชอบในการตัดสินใจที่เกี่ยวกับงานวิชาการงานงบประมาณงานบุคคลและงานทั่วไปโดยเป็นไปตามความต้องการของนกัเรียนและชุมชนซึ่งการที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะสร้างความพึงพอใจให้แก่ทุกคนในสถานศึกษานั้นมิใช่ของง่ายเพราะไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับความยุ่งยากจากบุคคลภายในสถานศึกษาเท่านั้นแต่ยังต้องเผชิญกับบุคคลภายนอกสถานศึกษาด้วย
ปัจจุบันสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต1ได้ดำเนินการเร่งรัดปฏิรูปการศึกษาโดยการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงกำหนดทิศทางขับเคลื่อนการจดัการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและจัดระบบนิเทศกำกับติดตามดูแลภารกิจหลักของโรงเรียน4ด้านคือ ด้านการบริหารงานวิชาการ ด้านบริหารงานงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล
และด้านการ บริหารทั่วไป
ด้วยการยกระดับให้มีมาตรฐานโดยเฉพาะผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาดังกล่าว
ผู้วิจัยในฐานะเป็นครูผู้สอนของ โรงเรียน ในอำ เภอคลองหลวงสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต1 จึงมีความสนใจที่จะศึกษาการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
ซึ่งผลการวิจัยจะน าไปใช้เพื่อเป็น
ประโยชน์และเป็นแนวทางในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารโรงเรียนให้บริหารงานด้านต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลมากที่สุดสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริหารและครูผู้สอนเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายและประสบความสำเร็จในการบริหารสถานศึกษาต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.
เพื่อศึกษาระดับการบริหารสถานศึกษาของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง
สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
2. เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง
สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
3.
เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของ
โรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
โรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
ประโยชน์ที่ได้รับ
1.
เป็นประโยชน์ต่อการบริหารงานสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา
ในการนำ ไปใช้ใน การวางแผนการจัดทำหลักสูตร การจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนของสถานศึกษา ในอำเภอคลองหลวง
ในการนำ ไปใช้ใน การวางแผนการจัดทำหลักสูตร การจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนของสถานศึกษา ในอำเภอคลองหลวง
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
2. เป็นแนวทางให้สถานศึกษา ประชาชน
ชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆ
ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
ปทุมธานี เขต 1 ไดน้า รูปแบบไปพิจารณาปรับปรุง บทบาท หน้าที่
ในการบริหารสถานศึกษา ให้มีความชัดเจนและมีความเหมาะสม
ปทุมธานี เขต 1 ไดน้า รูปแบบไปพิจารณาปรับปรุง บทบาท หน้าที่
ในการบริหารสถานศึกษา ให้มีความชัดเจนและมีความเหมาะสม
ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตด้านเนื้อหา
ขอบข่ายงานบริหารสถานศึกษา
4 ด้าน ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่
2) พ.ศ. 2545 และ(ฉบบัที่ 3) พ.ศ. 2553
คือ 1) ด้านการบริหารวิชาการ 2) ด้านการบริหารงบประมาณ
3) ด้านนการบริหารงานบุคคล และ4) ด้านการบริหารทั่วไป (สำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
สำนักนายกรัฐมนตรี, 2553: 14)
ประสิทธิผลของโรงเรียน ได้ศึกษาตามกรอบแนวคิดของ ฮอยและเฟอร์กูสัน แบ่งเป็น
5องค์ประกอบ คือ
5องค์ประกอบ คือ
1) ความใฝ่รู้ รักการอ่าน
แสวงหาความรู้ด้วยตนเองของ นักเรียน
2) ความพึงพอใจในการทำ งานของครู
3) ความสามารถในการใช้สื่อ นวัตกรรมและ เทคโนโลยขีองครู
4) ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
5) ความสามารถ ในการปรับเปลี่ยนต่อสภาวะแวดล้อมที่มากระทบทั้งภายในและภายนอก
2) ความพึงพอใจในการทำ งานของครู
3) ความสามารถในการใช้สื่อ นวัตกรรมและ เทคโนโลยขีองครู
4) ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
5) ความสามารถ ในการปรับเปลี่ยนต่อสภาวะแวดล้อมที่มากระทบทั้งภายในและภายนอก
ขอบเขตด้านประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
ได้แก่ ครูผู้สอน ในอำเภอคลองหลวง สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ในปีการศึกษา 2554 จา นวน 34
โรงเรียน รวมจำนวน 494 คน (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1)
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้
ใช้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำรวจของ
เครจซี่และมอร์ ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 285 คน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย
ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา
1)
การบริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย
4 ด้าน คือ
ก) ด้านการบริหารวิชาการ
ข) ด้านการบริหารงบประมาณ
ค) ด้านการบริหารงานบุคคล
ง) ด้านการบริหารทั่วไป
2)
ประสิทธิผลของโรงเรียน มี 5
องค์ประกอบ คือ
ก) ความใฝ่รู้ รักการอ่าน
แสวงหาความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน
ข) ความพึงพอใจในการทา งานของครู
ค) ความสามารถในการใช้สื่อ
นวตักรรมและเทคโนโลยีของครู
ง)
ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
จ)
ความสามารถในการปรับเปลี่ยนต่อสภาวะแวดล้อมที่มากระทบทั้งภายใน
และภายนอก
นิยามศัพท์เฉพาะ
1)การบริหารสถานศึกษาหมายถึงกระบวนการในการทำงานโดยมีผู้บริหารสถานศึกษาปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นระบบในสถานศึกษาที่ต้องดำเนินการ
4 ด้าน คือ ด้านการบริหารงานวิชาการ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารทั่วไป
4 ด้าน คือ ด้านการบริหารงานวิชาการ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารทั่วไป
1.1) การบริหารวิชาการ หมายถึง
ภารกิจงานเกี่ยวกับการจัดหลักสูตรสถานศึกษาให้สนองต่อความต้องการของผู้เรียนและท้องถิ่น โดยการมีส่วนร่วมในการวางแผน ให้คำปรึกษา
มีการส่งเสริมสนับสนุน
และเสนอแนวทางให้ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
1.2) การบริหารงบประมาณ หมายถึง
ภารกิจงานเกี่ยวกับการศึกษา
วิเคราะห์การจัดและการพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษา มีการวางแผนกลยุทธ์ การจัดทำข้อมูลทรัพยากร
จัดทำระบบฐานข้อมูลสินทรัพย์
และจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษา
1.3) การบริหารงานบุคคล หมายถึง
ภารกิจงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์ วางแผนและเสนอแนะ การแต่งตั้งบุคลากรในสถานศึกษา ให้เหมาะสมกับความรู้ความสามารถ ตามมาตรฐานวิชาชีพ มีเกณฑ์การประเมินผลงาน
1.4) การบริหารงานทั่วไป หมายถึง
ภารกิจงานเกี่ยวกับการวางแผน
และออกแบบระบบงานธุรการ
จัดระบบฐานข้อมูล
และระบบข้อมูลข่าวสารของสถานศึกษา
2) ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ความสามารถของผู้บริหารและครูผู้สอนในโรงเรียนที่
ทำงานร่วมกันจนสามารถทำให้นักเรียนมีความใฝ่รู้ รักการอ่าน
รู้จักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งด้านการบริหารและการเรียนการสอนจนบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่โรงเรียนกำหนดไว้
สมมติฐานการวิจัย
1)
การบริหารสถานศึกษาของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 อยู่ในระดับมาก
2)
ประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 อยู่ในระดับมาก
3)
การบริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลของโรงเรียน
ในอำเภอคลองหลวง
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
วิธีการดำเนินการวิจัย
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ ครูผู้สอนระดับประถมศึกษา ในอำเภอคลองหลวง
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ปีการศึกษา 2554 จำ นวน 34 โรงเรียน จำนวนครูผู้สอน 494 คน
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ใช้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำเร็จของเครจซี่และ
มอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 285 คน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม
(Questionnaire)
ที่ผู้วิจัยปรับปรุงขึ้น
โดยพิจารณาภายใต้กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีที่ได้จากการศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรม และ
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องรวมทั้งให้สอดคล้องกับคำจำกัดความในการวิจัยที่ได้กำหนดไว้แบ่งเป็น
3 ตอน ประกอบด้วย
ตอนที่
1 เป็นแบบสำรวจรายการ
(Checklist)
สอบถามเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของผู้ตอบ
แบบสอบถาม ประกอบด้วย เพศ
อายุ ระดับการศึกษา
และประสบการณ์ในการทำงาน
ตอนที่
2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษา เป็นแบบสอบถามแบบ มาตรวัดประเมินค่า (Rating Scale) 5 ระดับตามแบบลิเคอร์ท
ตอนที่
3 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียน
ในอำเภอคลองหลวง สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 เป็นแบบสอบถามแบบมาตรวัดประเมิน
การดำเนินการวิจัย
1)
ประสานงานกับสำนักงานบัณฑิตศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เพื่อทำหนังสือขอความอนุเคราะห์เก็บข้อมูลการวิจัยถึงผู้อำนวยการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี
เขต 1 เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลจากสถานศึกษา
2)
จัดส่งแบบสอบถามพร้อมทั้งหนังสือขอความอนุเคราะห์
ไปยังสถานศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในเขตอำเภอคลองหลวง
เพื่อขออนุญาตในการเก็บรวบรวมข้อมูล
และกำหนดวัน เวลา ขอรับแบบสอบถามคืน ภายใน 15 วัน
3)
เก็บรวบรวมและติดตามแบบสอบถามที่ยังไม่ได้รับคืน
และแจกแบบสอบถามด้วยตนเองอีกครั้งในรายที่แบบสอบถามสูญหายหรือไม่สมบูรณ์
โดยขยายเวลาอีก 5 วัน
4) นำ
แบบสอบถามที่ได้รับคืนมาตรวจสอบความสมบูรณ์
สะท้อนองความรู้ที่ได้จากวิจัย
ประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษา
ย่อมขึ้นอยู่กับผู้บริหารเป็นสำคัญ ภายใต้ข้อจำกัดของการบริหารโรงเรียน
เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้การปฏิบัติงานของผู้บริหารบรรลุผลตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนด คือ การพัฒนาผู้บริหารโรงเรียน
ซึ่งการบริหารการศึกษาในสถานศึกษา
เพื่อให้สถานศึกษาประสบผลสำเร็จและสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษานั้น ปัจจัยสำคัญต่อการเสริมสร้างการเรียนรู้ใน
โรงเรียน คือ ระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และการมีส่วนร่วมวามร่วมมือในการปฏิบัติงาน
ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และ ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
ดังนั้น
ผู้บริหารสถานศึกษาจึงมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในฐานะผู้นำหลัก ซึ่งมีภาระหน้าที่สำคัญ คือ
เป็นผู้นำทางการศึกษา
มีความรับผิดชอบในการบริหารงานด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างความก้าวหน้าของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพตามนโยบายที่กำหนดไว้
กลุ่มที่ 5
งานวิจัย ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
งานวิจัย
เรื่อง :
ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
การศึกษาระดับ :
ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
ผู้วิจัย :
ศศิตา เพลินจิต
ปีการศึกษา
: 2558
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่1 : ปัญหาสำหรับผู้บริหารที่ยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับยุค
ของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ประเด็นที่2 : ผู้บริหารขาดทักษะที่จาเป็นสาหรับการบริหารในองค์กรและ
หน่วยงานที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้บริหารสถานศึกษา
ประเด็นที่3 : ผู้บริหารสถานศึกษาจึงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่
จะต้องมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่21เพื่อหน่วยงานให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
ประเด็นที่4 : การพัฒนาทักษะของผู้บริหารในศตวรรษที่
21 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะของผู้บริหาร
ประเด็นที่5 : ทักษะการบริหารในศตวรรษที่
21 ของผู้บริหารสถานศึกษา
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1) เพื่อศึกษาทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21
ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการบริหารในศตวรรษที่21
ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.ผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานศึกษา
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 สามารถนำผลการวิจัยไปใช้เพื่อวางแผนการ
พัฒนา ผู้บริหารสถานศึกษา
2. ผลการวิจัยครั้งนี้ทำให้ทราบถึงทักษะในศตวรรษที่ 21
ของผู้บริหารสถานศึกษาที่สามารถ
นำมาใช้กำหนดนโยบาย แนวทางในการพัฒนาสถานศึกษาต่อไป
3. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปฐมศึกษานครปฐม เขต 1-2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต 9
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดนครปฐมนาทักษะการบริหารของผู้
บริหาร
สถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 เป็นแนวทางในการพัฒนาบุคลากรในสถานศึกษาต่อไป
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรต้น คือ
ขนาดของสถานศึกษา ประกอบด้วย
3.1.1
สถานศึกษาขนาดเล็ก
3.1.2
สถานศึกษาขนาดกลาง
3.1.3
สถานศึกษาขนาดใหญ่
ตัวแปรตาม
ทักษะการบริหารในศตวรรษที่21ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
ประกอบด้วย
3.2.1
ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
3.2.2
การริเริ่มสร้างสรรค์และการเป็นตัวของตัวเอง
3.2.3
ทักษะด้านสังคมและทักษะข้ามวัฒนธรรม
3.2.4
การเป็นผู้สร้างหรือผลิตและรับผิดชอบเชื่อถือได้
นิยามศัพท์เฉพาะ
ผู้บริหารสถานศึกษา
ผู้ที่มีความสำคัญในการดำเนินงานทำหน้าที่กำกับ
ควบคุม ดูแล บริหารและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ร่วมงานเพื่อ
ให้การดำเนินงานตามภารกิจของสถานศึกษาบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
ทักษะการบริหาร
ความรู้ความชำนาญความสามารถในการดำเนินกิจกรรม
บริหารเพื่อให้การปฏิบัติงานบรรลุวัตถุประสงค์ที่
กำหนดไว้อย่างถูกต้องรวดเร็ว
ทักษะการบริหารของผู้บริหาร
ทักษะที่ผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นต้องมี การบริหารที่ใช้ศาสตร์และศิลปะทุกประการ
หน้าที่ของผู้
บริหารที่จะนำเอาเทคนิควิธี และกระบวนการบริหารที่ เหมาะสม
มาใช้เกิดประสิทธิภาพและบรรลุเป้า
หมายของสถานศึกษา
สมมติฐานในการวิจัย
ทักษะการบริหารในศตวรรษที่21ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขต
พื้นที่การ
ศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ที่มีขนาดสถานศึกษาต่างกันมีความแตกต่างกัน
วิธีการดำเนินการวิจัย
ประชากร
1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษานครปฐม
เขต 1 ปีการศึกษา 2557 จากสถานศึกษาทั้งหมด 125 แห่ง จำแนก เป็นสถาน
ศึกษาขนาดเล็ก
52 แห่ง จำนวนประชากร 294 คน สถานศึกษาขนาดกลาง 65 แห่ง จำนวน
ประชากร907
คน และสถานศึกษาขนาดใหญ่ 8แห่ง
จำนวนประชากร439 คนรวม ประชากรทั้งหมด
1,640 คน
กลุ่มตัวอย่าง
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษานครปฐม
เขต 1 ปีการศึกษา 2557 ซึ่งการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดย ใช้
ตารางเครจซี่และมอร์แกน
(Krejc
& Morgan, 1970, pp. 607-610) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95
โดย
การสุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่ายแบบเป็นสัดส่วน ตามขนาดของสถานศึกษา
ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน
311 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม โดยแบ่งเป็น 2
ตอน คือ
ตอนที่
1 เป็นแบบสอบถามแบบตรวจสอบรายการ (checklist)
ตอนที่
2 เป็นแบบสอบถามทักษะผู้บริหารของสถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า
(rating
scale) ของลิเคอร์ท (Likert) เกี่ยวกับทักษะของผู้บริหาร
การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลโดย
3.1 นำหนังสือขอความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสำนักงานบัณฑิตศึกษาจากมหาวิทยาลัย
ราชภัฏกาญจนบุรีถึงผู้บริหารสถานศึกษา
เพื่อให้ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูล
3.2 ผู้วิจัยส่งแบบสอบถามไปยังโรงเรียน
เพื่อแจกให้กับครูในโรงเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 311
ชุด โดยกำหนดเวลาในการตอบแบบสอบถามและกลับคืนให้ผู้วิจัยภายใน
7-15 วัน ทางไปรษณีย์และผู้
วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลเอง
สะท้อนองความรู้ที่ได้จากวิจัย
- ได้รับความรู้เรื่องทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 และได้รับความรู้ใหม่เกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการศึกษาในศตวรรษที่21เพิ่มมากขึ้น
- ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ศึกษา ค้นคว้า และแก้ปัญหาจากการทำงานเพื่อแสดงศักยภาพที่มีอยู่ให้เห็นว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการทำวิจัย
- ได้ฝึกทักษะกระบวนการทำงาน การแก้ไขปัญหา มีความรับผิดชอบและได้ฝึกการวางแผนการทำงานเพื่อนำความรู้ที่ได้จากการวิจัยไปปรับใช้ในการศึกษาต่อไป
กลุ่มที่ 6
งานวิจัย การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
งานวิจัย
เรื่อง การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหาร สถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
การศึกษาระดับ : ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต (ปริญญาโท) มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
ผู้วิจัย : นัยนา เจริญผล
ปีการศึกษา
: 2552
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่
1 เป็นแนวทางสำคัญในการจัดระเบียบให้สังคมทั้งภาครัฐ
ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งครอบคลุมไปถึงฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปฏิบัติการ
ฝ่ายราชการ และฝ่ายธุรกิจ
ประเด็นที่
2 ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยังยืนและเป็นส่วนเสริมความเข้มแข็งหรือสร้างภูมิคุ้มกัน
ประเด็นที่
3 การพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพต้องอาศัยการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้รับการสนับสนุนส่งเสริมด้วยระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษา การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
2. เพื่อเปรียบเทียบการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา
จังหวัดขอนแก่น จำแนกตาม ประเภทการจัดการศึกษา และขนาดของสถานศึกษา
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผน
ปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาการบริหารงานโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา
จังหวัดขอนแก่นให้มีประสิทธิภาพ
2. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริม
สนับสนุนปัจจัยในการบริหารงานโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา
จังหวัดขอนแก่น ให้สอดคล้องกับปัญหาและเหมาะสมกับสภาพความจำเป็น
3.
เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการนิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผล
การดำเนินการบริหารงาน โดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตด้านเนื้อหา
การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษา การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
ตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี
พ.ศ. 2542
ทั้ง 6 หลัก หลักนิติธรรม
หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส
หลักการมีส่วนร่วม
หลักความรับผิดชอบ หลักความคุ้มค่า
ขอบเขตด้านประชากร
และกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหารในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการ
อาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น และครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัด
สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น
จำนวน 466คน
2. กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่ม ตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น
ผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น
และครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น
จำนวน 249 คน
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น
/ตัวจัดกระทำ
1. ประเภทการจัดการศึกษา
แบ่งเป็น
(1)
กลุ่มวิทยาลัยเทคนิค, อาชีวศึกษา
(2)
กลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ,สารพัดช่าง, เกษตร และเทคโนโลยี
2. ขนาดของสถานศึกษาจำแนกเป็น
2
ขนาดคือ
(1) ขนาดกลาง
(2)
ขนาดใหญ่
ตัวแปรตาม
ได้แก่ ระดับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น 6 หลัก ได้แก่ หลักนิติธรรม
หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักความคุ้มค่า
สมมติฐานของการวิจัย
1.
ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ที่ปฏิบัติงานในสถาบันอาชีวศึกษาที่มี
ประเภทการจัดการศึกษาต่างกันจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาล ในการบริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นต่างกัน
2.
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติงาน
ในสถานศึกษาที่มีขนาดต่างกัน
จะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาล ในการบริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นต่างกัน
นิยามศัพท์เฉพาะ
1.
การบริหาร
หมายถึง
การใช้ศาสตร์และศิลป์ ในการใช้ทรัพยากร คน เงิน วัสดุ การจัดการมาดำเนินการในรูปลักษณ์ของกิจกรรมต่างๆ
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล
ซึ่งการบริหารในที่นี้หมายถึงการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น
2.
หลักธรรมาภิบาล
หมายถึง
การบริหารจัดการทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อการพัฒนาของประเทศ
โดยมีการเชื่อมโยงองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนของสังคม คือ
ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนสังคม ให้มีการสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์
ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจ
สังคม การเมือง อย่างสมดุล ส่งผลให้สังคมดำรงอยู่กันอย่างสันติ
ตลอดจนมีการใช้อำนาจในการพัฒนาประเทศชาติให้เป็นไปอย่างมันคง
ยังยืน
และมีเสถียรภาพ
3.
การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษา
หมายถึง
ระดับการดำเนินการบริหารและการจัดการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
จังหวัดขอนแก่น ตามอำนาจหน้าที่เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของผู้เรียน
โดยยึดหลักใน 6 หลัก
4.
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หมายถึง
บุคลากรที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
จังหวัดขอนแก่น
5.
สำนักงานคณะกรรมการการ
อาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น หมายถึง
หน่วยงานทางการศึกษาที่สังกัด
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ
6.
ประเภทการจัดการศึกษา
หมายถึง การแบ่งสถานศึกษาออกตามประเภทของการจัดการเรียนการสอน
โดยแบ่งเป็น
1. กลุ่มวิทยาลัยเทคนิค
วิทยาลัยอาชีวศึกษา
2. กลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ
วิทยาลัยสารพัดช่าง วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหาร
และครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นโดยจำแนกดังนี้
ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 48 คน
ครูผู้สอน จำนวน 418 คน
รวม จำนวน 466คน
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างของผู้บริหารการศึกษาจากจำนวนประชากรเลือกมาทั้งหมด จำนวน 48
คนและครูผู้สอน
ผู้วิจัยได้กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นโดยใช้ประเภทและขนาดของสถานศึกษาเป็นชั้นในการสุ่ม
ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน249 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม
(Questionnaire)
ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง
จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน1 ชุด แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ
ตอนที่
1 เป็นแบบสอบถาม
เกี่ยวกับสถานภาพ ของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ประกอบด้วย
เพศ ตำแหน่งปัจจุบัน วุฒิการศึกษาสูงสุด ประสบการณ์ในการทำงาน
ขนาดของสถานศึกษาที่สังกัด ประเภทของสถานศึกษา
ตอนที่
2
เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า(Rating scale) 5 ระดับ
คือ ระดับมากที่สุด ระดับมาก ระดับปานกลาง ระดับน้อย และระดับน้อยที่สุด
ระดับ
5 หมายถึง
ระดับมากที่สุด
ระดับ
4 หมายถึง ระดับมาก
ระดับ
3 หมายถึง ระดับปานกลาง
ระดับ
2 หมายถึง
ระดับน้อย
ระดับ
1 หมายถึง
ระดับน้อยที่สุด
การดำเนินการวิจัย
เก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลมีขั้นตอนการดำเนินงานโดยขอหนังสืออนุญาตเก็บข้อมูลจากสำนักงานบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเลยถึงสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
จังหวัดขอนแก่น
เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลขอหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
จังหวัดขอนแก่น เพื่อขอความร่วมมือไปยังสถานศึกษาในสังกัด
เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้บริหาร ครูปฏิบัติการสอนและบุคลากรทางการศึกษาผู้วิจัยส่งแบบสอบถามให้กับสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น
ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมแบบสอบถามพร้อมตรวจสอบความถูกต้องจากกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเองจำนวน249ฉบับได้รับคืน249ฉบับคิดเป็นร้อยละ100
สะท้อนองความรู้ที่ได้จากวิจัย
จากผลการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาพบว่า
สถานศึกษาในแต่ละพื้นที่ต้องการผู้บริหารที่มีคุณภาพ
การเป็นผู้บริหารที่ดีนั้นควรมีหลักในการยึดถือปฏิบัติ ได้แก่ หลักด้านนิติธรรม ด้านคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม
หลักความรับผิดชอบ หลักแห่งความคุ้มค่า
ซึ่งคุณธรรมเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นผู้บริหาร
วิธีเทคนิคการบริหารวิธีนี้จะช่วยให้การบริหารเกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุด
องค์กรมีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามมาด้วย
สิ่งที่ได้รับและการนำไปประยุกต์ใช้
- ได้รับความรู้และแง่คิดดีๆจากคำคมที่เพื่อนๆนำเสนอไป
- ได้ทราบถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารว่ามีรูปแบบเป็นอย่างไร และสามารถนำไปปรับใช้กับตนเองในวันข้างหน้าได้อีกด้วย
ประเมินตนเอง
มาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบ
ประเมินเพื่อน
เพื่อนแต่งการถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์
อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น
ประเมินห้องเรียน
ห้องเรียนสะอาดกว้าง บรรยากาศเหมาะสมกับการเรียน โต๊ะเพียงพอต่อจำนวนนักศึกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น